การทำนาปลูกข้าว
การเตรียมพันธุ์ข้าว
เมื่อนำเมล็ดข้าวไปเพาะให้งอก
โดยแชน้ำนานประมาณ 1-2 ชั่วโมง
แล้วนำเมล็ดขึ้นจากน้ำและเก็บไว้ในที่มี ีความชื้นสูงเมล็ด จะงอก ภายใน 48 ชั่วโมง จึงนำเมล็ดที่เริ่มงอกเหล่านี้ไปปลูกในดินที่เปียก
ส่วนที่เป็นรากจะเจริญเติบโตลึกลงไปในดิน ส่วนที่เป็น ยอดก็จะสูงขึ้นเหนือผิวดินแล้วเปลี่ยนเป็นใบ
ต้นข้าวเล็กๆนี้เรียกว่า “ต้นกล้า” หลังจากต้นกล้ามีอายุ
ประมาณ 40 วัน จะมีหน่อใหม่เกิดขึ้นโดยเจริญเติบโตออกจากตา
บริเวณโคนต้น ต้นกล้าแต่ละต้นสามารถแตกหน่อใหม่ประมาณ 5-15
หน่อ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธ์ ข้าวระยะปลูก และความอุดมสมบูรณ์ของดิน
แต่หน่อต้นกล้าให้ร่วงข้าวหนึ่งรวง แต่รวงข้าวมีเมล็ดข้าวประมาณ 100-200 เมล็ด
โดยปกติต้นข้าวที่โตเต็มที่แล้วจะมีความสูงจากพื้นดินถึงปลายรวงที่สูงที่
สุดประมาณ100-200 เซนติเมตรซึ่งแตกต่างไปตามพันธุ์ ข้าว
ตลอดจนถึงความอุดมสมบูรณ์ของดินและความลึกของน้ำ
การปลูกข้าว
วิธีการปลูกข้าวหรือการทำนาในประเทศไทยแบ่งออกเป็น
3 วิธี ดังนี้
การปลูกข้าวไร่ หมายถึง
การปลูกข้าวบนที่ดอนไม่มีน้ำขังในพื้นที่ปลูก ชนิดของข้าวที่ปลูกเรียกว่า “ข้าวไร่” พื้นที่ดอนส่วนมากเช่น
ภูเขา มักจะไม่มีระดับ คือ สูงๆต่ำๆ จึงไม่สามารถไถเตรียมดิน
และปรับระดับดินได้ง่ายๆ เหมือนกับพื้นที่ราบ เพราะฉะนั้น ชาวนามักปลูกข้าวแบบหยอด
โดยขั้นแรกทำการตัดหญ้าและต้นไม้เล็กออก แล้วจึงทำความสะอาดพื้นที่ที่จะปลูก
แล้วใช้หลักไม้ปลาย แหลมเจาะดินเป็นหลุม
ปกติจะต้องหยอดพันธุ์ข้าวทันที่หลังจากที่เจาะหลุม และหลังจากหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าว
แล้วจะใช้เท้ากลบดินปากหลุม เมื่อฝนตกหรือเมื่อเมล็ดได้รับความชื้นจากดิน
เมล็ดจะงอกและเจริญเติบโตเป็นต้นข้าว เนื่องจากที่ดอนไม่มีน้ำขัง และไม่มี
การชลประทาน การปลูกข้าวไร่จึงต้องใช้น้ำฝนเพียงอย่างเดียว
พื้นที่ปลูกข้าวไร่จะแห้งและขาดน้ำทันที่เมื่อสิ้นหน้าฝน ดังนั้นการ
ปลูกข้าวไร่จึงต้องใช้พันธุ์ที่มีอายุเบา
โดยปลูกในต้นฤดูฝนและแก่เก็บเกี่ยวได้ในปลายฤดูฝน
ดังนั้นการปลูกข้าวไร่ชาวนาจะต้องหมั่น กำจัด วัชพืช
เพราะที่ดอนมักจะมีวัชพืชมากกว่าที่ลุ่ม พื้นที่ที่ปลูกข้าวไร่ในประเทศไทยมีจำนวนน้อยและปลูก
มากในภาคเหนือและภาคใต้ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางปลูกข้าวไร่น้อยมาก
การปลูกข้าวนาดำ หรือเรียกว่า
การปักดำ ซึ่งวิธีการปลูกแบ่งเป็นสองตอน ตอนแรกได้แก่การตกกล้าในแปลขนาดเล็ก
และตอน ที่สองได้แก่การถอนต้นกล้านำไปปักดินในนาผืนที่ใหญ่ ดังนั้น
การปลูกแบบปักดำอาจเรียกว่า Indirect
Seeding ซึ่งต้องเตรียม ดินที่ดีกว่าการปลูกข้าวไร่ ซึ่งมีการไถดะ
การไถแปร และการคราด ปกติการไถและคราดในนาดำมักจะใช้แรงวัวควาย
หรือแทรกเตอร์ขนาดเล็กที่เรียกว่า ควายเหล็ก หรือไถยนต์เดินตาม
ทั้งนี้เป็นเพราะพื้นที่นาดำมีคันนาแบ่งกั้นออกเป็นแปลงเล็กๆ ขนาดแปลงละ 1 ไร่ หรือเล็กกว่า คันนามีไว้เพื่อกักเก็บน้ำ ปล่อยน้ำทิ้งจากแปลงนา
นาดำจึงมีการบังคับน้ำในนาไว้ได้บ้างพอสมควร
การไถดะ หมายถึง
การถครั้งแรกเพื่อทำลายวัชพืชในนาและพลิกกลับหน้าดิน แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ จึงทำการไถแปรซึ่งหมายถึงการไถตัดกับรอยไถดะ
การไถแปรอาจไถมากกว่าหนึ่งครั้ง
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับน้ำในนาตลอดจนถึงชนิดและปริมาณของวัชพืช เมื่อไถแปร
แล้วทำการคราดได้ทันที การคราดก็คือการคราดเอาวัชพืชออกจากผืนนา
และปรับพื้นที่นาให้ได้ระดับเป็นที่ราบเสมอกัน ด้วยพื้นที่นาที่มีระดับเป็น
ที่ราบจะทำให้ต้นข้าวได้รับน้ำเท่าๆกัน และสะดวกต่อการไขน้ำเข้าออก
การปักดำ
คือการนำต้นกล้าที่ถอนขึ้นจากแปลงแล้วมัดรวมกันเป็นมัดๆ จะต้องสลัดดินโคลนที่รากออก
แล้วนำไปปักดำในพื้นที่นา ที่ได้เตรียมไว้ ถ้าต้นกล้าสูงมากก็ตัดปลายใบทิ้ง
พื้นที่นาที่ใช้ปักดำควรมีน้ำขังอยู่ประมาณ 5-10 เซนติเมตร เพราะต้นข้าว
อาจถูกลมพัดจนพับลงได้เมื่อนานั้นไม่มีน้ำขังอยู่เลย
ถ้าระดับน้ำในนั้นลึกมากต้นข้าวที่ปักดำอาจจมน้ำในระยะแรก และ ข้าวจะต้องยืดต้น
มากกว่าปกติ จนผลให้แตกกอน้อย
การปักดำที่ได้ผลผลิตสูงจะต้องปักดำให้เป็นแถวเป็นแนว
และมีระยะห่างระหว่างกอมากพอสมควร
การหว่านคราดกลบหรือไถกลบ
ชาวนาจะทำการไถดะและไถแปร แล้วจึงนำเมล็ดที่ยังไม่ได้เพาะ ให้งอกหว่านลงไปทันทีแล้ว
คราด หรือไถเพื่อกลบเมล็ดที่หว่านลงไปอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากดินมี
ความชื้นอยู่แล้วเมล็ดจะเริ่ม งอกทันทีหลังจากหว่านลงดิน การ ตั้งตัว
ของต้นกล้าจะตั้งตัวดีกว่า การหว่านสำรวย เพราะเมล็ดที่หว่านถูกกลบฝังลึกลงในดิน
การหว่านน้ำตม
การหว่านแบบนี้นิยมใช้ในพื้นที่มีน้ำขังประมาณ 3-5 เซนติเมตร และพื้นที่นา เป็นผืนใหญ่ขนาด ประมาณ 1-2 ไร่มีคันนากั้นเป็นแปลงการเตรียมดินทำเหมือนกับการเตรียม
ดินสำหรับนาดำ ซึ่งมีการไถดะ ไถแปร และคราดเพื่อเก็บวัชพืชออก
จากพื้นนาแล้วจึงทิ้งให้ดิน ตกตะกอนจนเห็นว่าน้ำใส จึงนำเมล็ดพันธุ์ที่เพาะให้งอกแล้วหว่านลงนาและไขน้ำออก
เมล็ดจะเจริญเติบโตเป็นต้นข้าวและเจริญเติบโตอย่างข้าวอื่นๆ
ตามปกติการหว่านแบบนี้นิยมทำกันใน ท้องที่จังหวัดฉะเชิงเทราที่ทำการปลูกข้าวนาปรัง
การทำไร่อ้อย
ขั้นตอนวิธีการปฏิบัติในการบริหารจัดการไร่อ้อย
เมื่อมีปัจจัยการผลิตที่มีมาตรฐานทั้งปริมาณและคุณภาพแล้ว
ขั้นต่อไปจะเป็นขั้นตอนของวิธีการปฏิบัติให้ได้คุณภาพ ตั้งแต่การปรับปรุงดิน
การเตรียมดิน การปลูก การใส่ปุ๋ย การควบคุม วัชพืช
ตลอดจนการเก็บเกี่ยวขนส่งและบำรุงตอ ซึ่งจะได้กล่าวพอเป็นสังเขป ดังนี้
การปรับปรุงดินให้เหมาะสมกับกับการปลูกอ้อย
สภาพไร่ควรจะราบเรียบ ถ้ามีจอมปลวก
ตอไม้ ต้นไม้ ก้อนหิน ต้องขจัดออก
ถ้าไม่ขจัดออกชาวไร่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการลงทุนปลูกอ้อยสูงกว่ารายที่ได้ขจัดออกแล้วและควรมีหน้าดินลึกกว่า
50 เซนติเมตร
ถ้าดินมีอินทรียวัตถุต่ำ 1.0 ให้ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยคอก เช่น มูลเป็ด มูลไก่ มูลโค มูลกระบือ
หรือปุ๋ยพืชสด เช่น ถั่วมะแฮะ ถั่วพร้า โสน ปอเทือง ฯลฯ หรือใช้กากตะกอนหม้อกรอง (Filter cake) อัตรา 20 ตัน/ไร่
พรวนคลุกเคล้าให้เข้ากับดิน
ถ้าดินเป็นกรดจัด pH ต่ำกว่า 5.0 ควรปรับปรุงดินด้วยปูนขาว
อัตราประมาณ 200 กิโลกรัม/ไร่
ถ้าใช้เครื่องหว่านปูนขาว ปูนจะลงสม่ำเสมอ หว่านก่อนเตรียมดินปลูก
ถ้าดินมีความลาดเทให้ทำคันดินขวางความลาดเท
ปลูกหญ้าแฝกบนคันดิน ถ้าดินลาดเทมากคันดินต้องถี่ ถ้าลาดเทน้อยคันดินห่าง
จะทำให้รักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินไว้ได้นาน
ถ้าพื้นที่เป็นที่ต่ำต้องจัดการระบายน้ำไม่ให้ท่วมขังในแปลง
การเตรียมดินปลูกอ้อย
หลักการเตรียมดิน
การเตรียมดินที่ลึกจะทำให้รากอ้อยหยั่งรากไปดูดน้ำอาหารได้
และการเตรียมดินที่ละเอียดจะช่วยเก็บความชื้นได้ดีโดยเฉพาะอ้อยข้ามแล้งต้องเตรียมละเอียดเป็นพิเศษ
ส่วนต้นฝนไม่จำเป็น
1.การเตรียมดินปลูกอ้อยข้ามแล้ง เดือนสิงหาคม – กันยายน ไถหมักปุ๋ยพืชสด (ถั่วมะแฮะ ถั่วพร้า ฯลฯ)
เปิดหน้าดินรับน้ำฝน (หมักวัชพืช) ด้วยผาน 3 หรือ ผาน 4 เดือนตุลาคม หลังหมดฝน พรวนด้วยผาน 7 หรือพรวน 20 จาน (ออฟเสท) ลงริปเปอร์ลึก 40-50 เซนติเมตร
ความกว้างระหว่างขา 55 เซนติเมตร 1 ครั้ง เพื่อให้ส่วนที่เป็นดานแตกร้าวถึงกันหมดและดินได้อากาศ
แล้วตัดขวางอีก 1 ครั้ง
เสร็จแล้วพรวนด้วย 20 จาน (ออฟเสท) ถ้าหากมีไถสิ่ว
จะใช้ไถสิ่วแทนริปเปอร์ก็ได้ผลดีเช่นเดียวกัน ปลายตุลาคม
ปลูกจนกระทั่งเดือนธันวาคม หรือดินหมดความชื้น ถ้าดินหมดความชื้นแล้วยังปลูกไม่เสร็จให้ใช้น้ำราด
การที่ไม่แนะนำให้ใช้ผาน 3 หรือผาน 4
เตรียมดินหลังจากหมดฝนแล้วเพราะหลังจากหมดฝนหน้าดินเริ่มแห้งการใช้ผานไถพลิกดินเอาดินชื้นขึ้นมาและเอาดินแห้งพลิกลงไปทำให้ความชื้นสูญเสียมากกว่าการใช้ริปเปอร์หรือไถสิ่วซึ่งไม่พลิกดินซึ่งความชื้นไม่สูญเสีย
2.
การเตรียมดินรื้อตอปลูกต้นฝน ระยะเวลาดำเนินการ
ธันวาคม – มีนาคม
- กรณีมีใบอ้อย -
ผานไถชนิดพรวนคลุกใบอ้อยให้เข้ากับดิน
- กรณีเผาใบ - ถ้าเป็นอ้อยเผาใบ พรวนรื้อตอด้วยผาน 7 หรือพรวน 20 (ออฟเสทของ KMT) ดินจะร่วนตอจะแตกถ้าไถด้วยผาน 3 หรือผาน 4 จะไถตอขึ้นทั้งตอ ตอจะไม่ตายและจะแตกหน่อขึ้นอีก
ทำให้เกิดพันธ์ปลอมปนไถด้วยผาน 3 หรือผาน 4 พรวนอีก 1 ครั้ง ริปเปอร์แบบตาหมากรุก
ยกร่องรอฝน (ถ้าความชื้นไม่พอ) ปลูกเมื่อฝนตก หรือดินมีความชื้น ยกร่องปลูกทันที
หรือปลูกด้วยเครื่องปลูก ให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม การเตรียมพันธุ์อ้อยชาวไร่ทุกรายควรมีแปลงพันธุ์ของตนเอง
เพื่อที่จะได้พันธุ์บริสุทธิ์ (ไม่คละพันธุ์) ปลอดโรค และแมลง ขณะตัดพันธุ์ต้องตัดเฉพาะอ้อยลำที่สมบูรณ์เท่านั้น
อ้อยลำเล็กผิดปกติ อ้อยเป็นโรค ห้ามตัดให้ทิ้งไว้ในไร่
นำเฉพาะอ้อยปกติเท่านั้นไปปลูก
-กรณีมีหนอนกอเข้าทำลายบ้างเล็กน้อย
ก่อนปลูกให้นำไปแช่น้ำ 24 ชั่วโมง
หรือแช่น้ำร้อน 50-52° C เป็นเวลา 2 ชั่วโมง หรือแช่น้ำปูนขาว 7-8 ชั่วโมง
หรือใช้แบคทีเรียผสมน้ำราดกองพันธุ์อ้อยทิ้งไว้ 1-2 วันก่อนปลูก
เพื่อฆ่าหนอนในลำอ้อย การตัดพันธุ์ต้องไม่ลอกกาบ เพราะการขนย้ายจะทำให้ตาช้ำ ตาแตก
อ้อย ไม่งอก เมื่อตัดพันธุ์เสร็จให้รีบปลูกเพราะถ้าทิ้งไว้นานเกิน 5 วัน เปอร์เซนต์การงอกจะต่ำลง การลอกกาบก่อนปลูกจะทำให้อ้อยงอกเร็วกว่าไม่ลอกกาบเล็กน้อย
แต่จะทำให้เสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น ถ้าใช้เครื่องปลูกควรลอกกาบเพราะจะทำให้อ้อยลงสม่ำเสมอ
ถ้าสงสัยว่าแปลงพันธุ์อ้อยจะเป็นโรคใบขาวหรือไม่ ให้สุ่มตัดยอดทิ้ง จำนวน 15-20 ยอด ถ้าตาที่แตกมีใบขาวเกินจาก 1-2 ต้น
อ้อยแปลงนี้ก็ไม่ควรใช้ทำพันธุ์
การปลูกอ้อย
การปลูกอ้อยให้งอก 100% ดินจะต้องมีความชื้นพอเหมาะพันธุ์อ้อยจะต้องสมบูรณ์
ตาอ้อยไม่แตกหรือช้ำ เมื่อวางท่อนพันธุ์แล้ว เทคนิคการกลบจะมีผลต่อการเกิด
และการแตกกอของอ้อยกล่าวคือถ้ากลบบางเกินไปดินอาจจะแห้งก่อนอ้อยจะงอก
ถ้ากลบดินหนาเกินไป อ้อยจะเกิดช้าและไม่แตกกอ
หรือหากปลูกแล้วฝนทับอ้อยจะเน่าไม่งอกเลย ฉะนั้นการกลบท่อนพันธุ์จะหนาหรือบางขึ้นกับสถานการณ์ในขณะนั้น
การปลูกอ้อยสามารถใช้เครื่องปลูกและแรงงานคนวางท่อนพันธุ์แล้วกลบด้วยแรงงาน
รถไถเดินตามหรือรถแทรกเตอร์ติดเครื่องมือกลบ มีทั้งปลูกอ้อยข้ามแล้ง ก่อนฝน
(น้ำราด) และต้นฝน ขั้นตอนและวิธีการปลูก ดังนี้
1.เครื่องปลูกอ้อย เครื่องปลูกอ้อยมีหลายแบบ เช่น เครื่องปลูกแบบเสียบท้าย
เครื่องปลูกแบบเสียบบน เครื่องปลูกแบบท่อน (Billet Planter)
ที่นิยมใช้ในบ้านเราคือ
เครื่องปลูกแบบเสียบบน และเครื่องปลูกแบบเสียบท้าย ตรวจความพร้อมของเครื่องปลูกอ้อย
หัวหมูอยู่ในสภาพดีเบิกร่องได้ดี ใบมีดตัดพันธุ์อ้อยคมอยู่ในสภาพสมบูรณ์
ลูกยางป้อนอ้อยไม่ฉีกขาดไม่แข็งเกินไป (ถ้าแข็งเกินไปจะทำให้
ตาอ้อยแตกหรือท่อนพันธุ์บอบช้ำทำให้เชื้อโรคเข้าได้ง่าย โซ่ สายพาน
อยู่ในสภาพสมบูรณ์ พร้อมใช้งาน ชุดใส่ปุ๋ย ท่อส่งปุ๋ยอยู่ในสภาพเรียบร้อยพร้อมใช้งาน
ปุ๋ยรองพื้นใช้สูตร 20-20-0 หรือ 16-20-0 หรือ 16-16-8 (ให้ p สูง เพื่อเร่งราก) ชุดกลบดินต้องตั้งให้กลบดินพอเหมาะกับช่วงที่ปลูกในขณะนั้น
ลูกกลิ้งบดอัด ถ้าปลูกข้ามแล้ง การกลบหลังบดอัดให้แน่นแล้วหนา 6-10 เซนติเมตร ถ้าปลูกต้นฝนดินชื้นมาก กลบหนา 2-5 เซนติเมตร ไม่จำเป็นต้องบดอัด ปลูกโดยใช้เกียร์ สโลว์ (slow) 1-2 อัตราเร็ว ประมาณ 4 กิโลเมตร/ชั่วโมง เร่งเครื่องยนต์ที่ 1,300-1,500 รอบ/นาที
ปรับความลึกของร่องประมาณ 20-25 เซนติเมตร
โดยใช้ระบบไฮโดรลิกอัตโนมัติ ควบคุม ป้อนท่อนพันธุ์โดยไม่ขาดตอนหรือป้อนท่อนพันธุ์ให้ซ้อนกัน
0.50-1.00 เมตร ปัจจุบันนิยมใช้เครื่องปลูกแบบร่องคู่
เพื่อลดการเสี่ยงจากอ้อยไม่งอกและเพิ่มเปอร์เซนต์การงอก ระยะระหว่างร่อง 1.50 เมตร ถ้าดินมีปลวกต้องฉีดพ่นท่อนพันธุ์ด้วยแอสเซนต์ อัตรา 450 ซีซี./ไร่ หรือ 80 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร
2.
การปลูกอ้อยข้ามแล้ง เดือนตุลาคม – พฤศจิกายน
หรือธันวาคม ดินที่เตรียมไว้ต้องละเอียด เตรียมดินลึกมากกว่า 30 เซนติเมตร ดินมีความชื้นดี
ปลูกด้วยเครื่องปลูกจะลดการสูญเสียความชื้น ความลึกที่ระดับ 20 เซนติเมตร มีความชื้นดี เมื่อกำดูดินจะรวมเป็นก้อน เมื่อแบมือออกดินไม่แตกออก
ถ้าแตกออกแสดงว่าความชื้นไม่พอ ต้องให้น้ำ ถ้าไม่มีน้ำต้องยุติการปลูก การปลูกด้วยแรงงานเมื่อเปิดร่องด้วยผานหัวหมูจะต้องรีบใส่ปุ๋ยรองพื้นวางท่อนพันธุ์
สับ 3-4 ตา/ท่อน กลบดินหนาประมาณ 10 เซนติเมตร
ด้วยรถไถเดินตามหรือแรงงาน ระยะห่าง 1.20-1.30 เมตร
สำหรับการบำรุงรักษาด้วยแรงงาน หรือรถไถ เดินตาม ระยะห่าง 1.40-1.50 เมตร สำหรับการบำรุงรักษาด้วยเครื่องจักรกล ถ้าพันธุ์ที่แตกกอไม่ดี
ควรวางท่อนคู่ หรือปลูกร่องคู่ ถ้าดินมีปลวกให้ฉีดพ่นท่อนพันธุ์ด้วยแอสเซนด์ อัตรา
450 ซีซี./ไร่ ก่อนกลบ
3.
ปลูกอ้อยน้ำราด ระหว่างเดือนธันวาคม - มีนาคม ถ้าดินที่เตรียมไว้ความชื้นไม่เพียงพอ
หลังจากเบิกร่องใส่ปุ๋ยรองพื้น 40-50 กิโลกรัม/ไร่
วางท่อนพันธุ์ สับ 3-4 ตา/ท่อน
กลบบาง ๆ แล้ว ให้น้ำในร่องอ้อยเมื่อดินหมาด ให้กลบด้วย ดินแห้ง 3-5 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างร่อง 1-20-1.30 เมตร
สำหรับบำรุงรักษาด้วยแรงคนหรือ รถไถเดินตาม หรือระยะห่าง 1.40-1.50 เมตร สำหรับบำรุงรักษาด้วยเครื่องจักรกล พันธุ์อ้อยหากแตกกอไม่ดีควรวางคู่
ถ้าดินมีปลวกให้ฉีดพ่นท่อนพันธุ์ด้วยแอสเซนต์ อัตรา 450 ซีซี/ไร่ ก่อนกลบ
4.
ปลูกอ้อยต้นฝน ควรปลูกตั้งแต่ฝนแรก ๆ
ควรจะให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม เดือนมีนาคม-เมษายน เกิดฝนตก ดินชื้นพอ
ถ้าปลูกช่วงมีนาคม-เมษายน อากาศร้อนจัด ถ้ากลบดินน้อยกว่า 10 เซนติเมตร ตาอ้อยจะสุกไม่งอก หรือดินจะแห้งก่อนอ้อยงอก
อ้อยจะเสียหายหมดถ้าฝนไม่ตกซ้ำ ฉะนั้นการปลูกอ้อยในเดือนมีนาคม-เมษายน
ต้องติดตามสภาพ ดินฟ้าอากาศอย่างใกล้ชิด ถ้าอากาศร้อนจัดควรกลบดินหนา 10-12 เซนติเมตร และดินต้องมีความชื้นเพียงพอ ระยะระหว่างร่อง 1-20-1.30 เมตร สำหรับบำรุงรักษาด้วยแรงงานคนหรือ
รถไถเดินตาม หรือระยะห่าง 1-40-1.50 เมตร
สำหรับบำรุงรักษาด้วยเครื่องจักร หลังจากเบิกร่อง ใส่ปุ๋ยรองพื้น 40-50 กิโลกรัม/ไร่ วางท่อนพันธุ์ สับ 3-4 ตา/ท่อน
ถ้าดินชื้นมาก กลบ 2-5 เซนติเมตร
หรือไม่ต้องกลบ พันธุ์อ้อยหากแตกกอไม่ดีควรวางคู่ หรือปลูกร่องคู่ ข้อควรระวัง
การกลบดินหนา หากฝนตกหนักจะทำให้ท่อนพันธุ์เน่า ไม่งอก ถ้างอกจะไม่แตกกอ
การดูแลรักษา
การดูแลรักษา ได้แก่ การควบคุมวัชพืช
การใส่ปุ๋ย การควบคุมโรคและแมลง
การทำไร่มันสำปะหลัง
วิธีการเพาะปลูกมันสำปะหลังที่เหมาะสม
1.
การเตรียมดิน
หากดินที่ทำการเพาะปลูกมันติดต่อกันหลายปี ควรปรับปรุงดิน
เพื่อรักษาระดับผลผลิตในระยะยาว ด้วยการใส่ปุ๋ยคอก
ปุ๋ยหมักเปลือกมันชนิดเก่าค้างปี (จากโรงแป้งทั่วไป) ที่หาได้ในท้องถิ่น หรือ
ปลูกพืชตระกูลถั่วต่าง ๆ หมุนเวียนบำรุงดิน ในกรณีที่พื้นที่ประเภทหญ้าคา
ควรใช้ยาราวด์อัพหรือเครือเถาต่าง ๆ ควรใช้ยาสตาร์เรน ฉีดพ่นยาจำกัดเสียก่อนการไถ
จากนั้นไถครั้งแรกโดยไถกลบวัชพืชก่อนปลูกด้วยผาน 3 (อย่าเผาทำลายวัชพืช)
ให้ลึกประมาณ 20-30 ซม. แล้วทิ้งระยะไว้ประมาณ 20-30 วัน
เพื่อหมักวัชพืชเป็นปุ๋ยในดินต่อไป ไถพรวนด้วยผาน 7 อีก 1-2 ครั้ง ตามความเหมาะสม
และรีบปลูกโดยเร็ว ในขณะที่ดินยังมีความชื้นอยู่
2.
การเตรียมท่อนพันธุ์
ใช้ท่อนพันธุ์มันที่สด อายุ 10-12
เดือน ตัดทิ้งไว้ไม่เกินประมาณ 15 วัน โดยติดให้มีความยาวประมาณ 20 ซม.
มีตาไม่น้อยกว่า 5 ตา เพื่อป้องกันเชื้อราและแมลง ควรจุ่มท่อนพันธุ์ในยาแคปแทน 1.6
ขีด (160 กรัม) ผสมร่วมกับมาลาไธออน 20 ซีซี ในน้ำ 20 ลิตร ประมาณ 5 นาที ก่อนปลูก
3. การปลูก
ปลูกเป็นแถวแนวตรง
เพื่อสะดวกในการบำรุงรักษาและกำจัดวัชพืช โดยใช้ระยะระหว่างแถว 1.20 เมตร
ระยะระหว่างต้น 80 ซม. และปักท่อนพันธุ์ให้ตั้งตรงลึกในดินประมาณ 10 ซม.
4.
การฉีดยาคุมเมล็ดวัชพืช
สำหรับการปลูกในฤดูฝนสภาพดินชื้น
ควรฉีดยาคุมวัชพืชด้วยยาไดยูรอน (คาแม็กซ์) หลังจากการปลูกทันที ไม่ควรเกิน 3 วัน
หรือก่อนต้นมันงอก หากฉีดหลังต้นมันงอก อาจทำให้ต้นมันเสียหายได้ ใช้ยาในอัตรา 6
ขีด (600 กรัม) ผสมน้ำ 200 ลิตร ฉีดพ่นได้ประมาณ 1 ไร่ครึ่ง
5. การกำจัดวัชพืชและการใส่ปุ๋ย
กำจัดวัชพืช ครั้งที่ 1 ประมาณ 30-45
วัน หลังการปลูก โดยใช้รถไถเล็กเดินตาม หรือ จานพรวนกำจัดวัชพืช
ติดท้ายรถแทรกเตอร์ พร้อมทั้งใส่ปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 25-50 กก./ไร่ ห่างจากต้นมัน
1 คืบ (20 ซม.) จากนั้นใช้จอบกำจัดวัชพืชส่วนที่เหลือ พร้อมกับกลบปุ๋ยไปด้วย
หรือใส่ปุ๋ยโดยการขุดหลุม ห่างจากโคนต้น 1 คืบ แล้วกลบดินตามก็ได้
ข้อสำคัญควรใส่ปุ๋ยขณะที่ดินมีความชื้นอยู่ กำจัดวัชพืช ครั้งที่ 2 ประมาณ 60-70
วัน หลังการปลูก โดยปฏิบัติเช่นเดียวกันกับครั้งแรก กำจัดวัชพืช ครั้งที่ 3
ตามความจำเป็น โดยใช้จอบถาก หรือฉีดพ่นด้วยยากรัมม๊อกโซน (ควรใช้ฝากครอบหัวฉีด
เพื่อป้องกันไม่ให้ยาโดนตาและลำต้นมัน)
6.
การเก็บเกี่ยว
ทำการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังในช่วงอายุที่เหมาะสม
คือ ประมาณ 10-12 เดือน พร้อมทั้ง วางแผนการเตรียมท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง
เพื่อการปลูกในคราวต่อไปส่วนของต้นมันสำปะหลังที่ไม่ใช้ เช่น ใบ กิ่ง ก้าน หรือ
ลำต้น ควรสับทิ้งไว้ในแปลง เพื่อให้เป็นปุ๋ยพืชสดในดินต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น